ข้อแตกต่างของโยคะร้อนและโยคะเย็น
โยคะเป็นการออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมจากสาวๆ เป็นจำนวนมาก เพราะเป็นการดูแลสุขภาพอย่างครบวงจรทั้งร่างกายและจิตใจ ช่วยสร้างสมดุลให้กับระบบการทำงานของร่างกายได้เป็นอย่างดี ทำให้ร่างกายแข็งแรง ชะลอความเสื่อมของข้อต่อในส่วนต่างๆ ลดความเครียด อีกทั้งยังช่วยลดน้ำหนักและทำให้มีรูปร่างที่ดีได้อีกด้วย
สาวๆที่สนใจอยากฝึกโยคะลดน้ำหนัก อาจให้ความสนใจกับโยคะร้อน เพราะเข้าใจว่าจะช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้เป็นอย่างดีมากกว่าโยคะเย็น แต่ในขณะเดียวกันหลายคนก็อาจสงสัยว่าความเข้าใจเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ และโยคะร้อนกับโยคะเย็นมีความแตกต่างกันอย่างไร มาดูรายละเอียดในเรื่องนี้กัน
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับโยคะทั้งสองประเภทกันก่อนว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง
โยคะที่ฝึกกันโดยทั่วไปในอุณหภูมิห้องปกตินั้น เรียกกันว่าโยคะเย็น เพราะเป็นการฝึกในอุณหภูมิห้องที่มีความเย็นสบาย ช่วยให้ฝึกได้ง่ายขึ้นและนานขึ้น ผู้ฝึกไม่ค่อยรู้สึกเหนื่อยมากนัก ทำให้ร่างกายสามารถเผาผลาญพลังงานส่วนเกินได้ดี
ส่วนโยคะร้อน คือการฝึกโยคะในห้องที่มีอุณหภูมิสูงกว่าปกติ คือประมาณ 37 ถึง 40 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิของร่างกายคนปกติ และทำให้ร่างกายมีการยืดหยุ่นได้ดีขึ้นกว่าอุณหภูมิปกติ ช่วยเพิ่มความสามารถของระบบไหลเวียนโลหิตและร่างกายมีการขับเหงื่อออกมาได้มาก จึงช่วยขับสารพิษออกมาได้มากกว่า ทำให้ร่างกายสดชื่น สบายตัว และช่วยเผาผลาญพลังงานส่วนเกินได้มากขึ้น หลายคนจึงมักใช้เป็นการฝึกโยคะลดหน้าท้อง เพราะสามารถกระตุ้นการใช้พลังงานส่วนเกินจากร่างกายได้ดี
แต่หากสาวๆที่ต้องการฝึกโยคะเพื่อลดน้ำหนักและช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ก็มีสิ่งที่ต้องระวังสักนิด เพราะสาวๆที่มีโรคประจำตัวอย่างความดันโลหิตสูงหรือต่ำ ก็อาจจะต้องงดเว้นการฝึกในบางท่า เช่น ท่าที่ต้องมีการก้มศีรษะ นอกจากนี้ก็อาจมีข้อห้ามสำหรับสาวๆที่มีโรคประจำตัวอย่างโรคหัวใจอีกด้วย ส่วนสาวๆที่ชื่นชอบการเล่นโยคะร้อน ก็ต้องระวังอาการขาดน้ำและอุณหภูมิในร่างกายสูงเกินไป จนเป็นสาเหตุที่ทำให้หัวใจเต้นเร็ว มีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้และทำให้เป็นไข้ หรือบางคนอาจเกิดอาการเป็นลมหน้ามืดในขณะที่ฝึกโยคะร้อน ดังนั้นจึงต้องดื่มน้ำมากๆเพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไปในระหว่างการฝึก และอย่าฝืนตัวเอง หากร่างกายไม่ไหว พักผ่อนไม่เพียงพอก็ควรงดการฝึกในวันนั้นไปเลย
ทั้งโยคะร้อนและโยคะเย็นต่างก็มีประโยชน์ในการสร้างสมดุลและช่วยให้ร่างกายแข็งแรงได้เช่นเดียวกัน ซึ่งหากสาวๆตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกแบบไหน ก็ลองฝึกโยคะทั้งสองแบบดูเพื่อหารูปแบบการฝึกที่เหมาะที่สุดกับตัวเองได้