7 ข้อดี Pure Toxin (โบเยอรมัน) โบสำหรับคนรุ่นใหม่!
จากความนิยมในการใช้โบทำให้วงการความงามคิดค้น ‘Pure Toxin’ (โบเยอรมัน) เพื่อเป็นโบสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ใช้ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
ฉีดโบลดริ้วรอย คืนความอ่อนเยาว์ให้ใบหน้า การเกิดริ้วรอยบนใบหน้า เป็นสัญญาณเตือนอายุที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง แต่การก้าวเข้าสู่วัยที่มากขึ้น ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องยอมรับริ้วรอยเหล่านั้น ปัจจุบันมีเทคโนโลยีมากมายที่ช่วยให้คุณเผชิญหน้ากับริ้วรอยได้อย่างมั่นใจ การฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอย หนึ่งในวิธีการยอดนิยมที่ได้รับความสนใจจากคนทุกวัย ด้วยผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ปลอดภัย และเห็นผลชัดเจน ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับการฉีดโบลดริ้วรอยว่ามีขั้นตอนอย่างไร ฉีดโบลดริ้วรอยราคาเท่าไหร่ ผลข้างเคียง โบท็อกซ์ริ้วรอย ฉีดโบลดริ้วรอย กี่วันเห็นผล ก่อนตัดสินใจฉีดโบลดริ้วรอย
โบท็อกซ์ลดริ้วรอย คือ การฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ (Botulinum toxin A) ซึ่งเป็นสารสกัดบริสุทธิ์จากธรรมชาติที่ผลิตโดยแบคทีเรีย Clostridium botulinum เข้าไปยังกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าเพื่อช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อ โดยสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ จะออกฤทธิ์ยับยั้งการปล่อยสารสื่อประสาทชื่อว่า อะเซทิลโคลีน (Acetylcholine) ซึ่งควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อ เมื่อกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าได้รับการผ่อนคลาย ริ้วรอยต่างๆ บนใบหน้า เช่น รอยตีนกา รอยระหว่างคิ้ว รอยยิ้ม จะแลดูจางลง
ฉีดโบลดริ้วรอย จะเริ่มเห็นผลภายใน 3-7 วัน หลังฉีด และจะเห็นผลเต็มที่ภายใน 2-4 สัปดาห์
อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาในการเห็นผลอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังนี้
โบท็อกซ์เป็นยาที่ได้รับความนิยมซึ่งใช้เพื่อลดริ้วรอยและปรับรูปหน้า สามารถฉีดได้หลายส่วนของใบหน้า รวมถึง
โบท็อกซ์สามารถใช้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดรอยย่นระหว่างคิ้ว ซึ่งมักเรียกว่า ” รอยย่นกังวล” สิ่งนี้สามารถช่วยให้ผิวเรียบเนียนและดูอ่อนเยาว์ลง
โบท็อกซ์ใต้ตาสามารถใช้เพื่อลดริ้วรอยใต้ตา ซึ่งมักเรียกว่า “ตีนกา” มันสามารถช่วยให้ผิวในบริเวณนี้ดูเรียบเนียนและสดใสขึ้น
การฉีดโบท็อกซ์ หน้าผากสามารถใช้เพื่อลดริ้วรอยบนหน้าผาก ซึ่งสามารถทำให้ใบหน้าดูแก่ก่อนวัยได้ การฉีดโบท็อกซ์ในบริเวณนี้สามารถช่วยให้ผิวเรียบเนียนและดูอ่อนเยาว์ลง
โบท็อกซ์สามารถใช้เพื่อลดรอยย่นรอบริมฝีปาก ซึ่งมักเรียกว่า ” รอยย่นรอบปาก” สิ่งนี้สามารถช่วยให้ริมฝีปากดูอวบอิ่มและอ่อนเยาว์ลง
โบท็อกซ์สามารถใช้เพื่อลดขนาดกล้ามเนื้อค้าง ซึ่งสามารถช่วยให้ใบหน้าดูเรียวขึ้นและใบหน้าชัดเจนขึ้น
สิ่งสำคัญคือต้องปรึกษากับแพทย์ผู้ชำนาญการ ด้านการดูแลผิวหนังเพื่อหารือว่าโบท็อกซ์เหมาะกับคุณหรือไม่ และบริเวณใดของใบหน้าที่คุณต้องการฉีด พวกเขาจะสามารถประเมินความต้องการเฉพาะของคุณและแนะนำการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับคุณได้
หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าแรงๆ และงดแต่งหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังฉีด รวมถึงสังเกตอาการข้างเคียง เช่น รอยแดง อาการปวด หากมีอาการผิดปกติ ควรแจ้งแพทย์ทันที
ราคาฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอยนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ยี่ห้อของโบท็อกซ์ จำนวนยูนิตที่ฉีด จุดที่ฉีด
โดยเฉลี่ยแล้ว ราคาฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอยจะอยู่ที่ประมาณ
อย่างไรก็ตาม ราคานี้เป็นเพียงราคาคร่าวๆ อยากมีใบหน้าที่เรียบเนียน ไร้ริ้วรอย ยกกระชับ และดูอ่อนเยาว์ลงไหม? โบท็อกซ์ คือคำตอบ! ที่ Pongsak Clinic คลินิกเสริมความงามที่เชี่ยวชาญด้านการฉีดโบท็อกซ์ ด้วยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย
คืนความอ่อนเยาว์ เติมเต็มความมั่นใจ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
ให้แพทย์ออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคล คลิก!
การฉีดโบท็อกซ์ลดริ้วรอย จะเริ่มเห็นผล ภายใน 3-7 วันแต่ ผลลัพธ์ที่ชัดเจนจะปรากฏ หลังจากฉีดประมาณ 2-4 สัปดาห์ ทั้งนี้ ระยะเวลาในการเห็นผล ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังนี้ บริเวณที่ฉีด รอยตีนกา หางตา หน้าผาก จะเห็นผลเร็วกว่า รอยขมวดคิ้ว กราม จะเห็นผลช้ากว่า ปริมาณโบท็อกซ์ที่ฉีด ฉีดเยอะ ยาจะออกฤทธิ์เร็ว ฉีดน้อย ยาจะออกฤทธิ์ช้าและยี่ห้อของโบท็อกซ์แต่ละยี่ห้อมีสูตรและกลไกการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน
การฉีดโบท็อกซ์ ไม่ควรฉีดถี่เกินไป เพราะอาจทำให้ดื้อโบท็อกซ์ ได้โดยปกติควรฉีดโบท็อกซ์ เว้นจากครั้งล่าสุดอย่างน้อย 3 เดือน และไม่เว้นระยะห่างเกินไป (ไม่ควรเว้นเกิน 5 – 6 เดือน) ทั้งนี้ ระยะเวลาที่เหมาะสมในการฉีดโบท็อกซ์ซ้ำ บริเวณที่ฉีด รอยตีนกา หางตา หน้าผาก จะอยู่ได้ประมาณ 3-4 เดือน รอยขมวดคิ้ว กราม จะอยู่ได้ประมาณ 4-5 เดือน
หลังฉีดโบท็อกซ์ ควรหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มบางประเภท เพื่อป้องกันผลข้างเคียงและให้โบท็อกซ์ออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
1. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด
2. อาหารที่เผ็ดร้อน อาหารเผ็ดร้อน
3. อาหารหมักดอง เช่น ปลาร้า ปลาส้ม มะม่วงดอง มีสารไฮสตามีน อาจทำให้เกิดอาการแพ้ คันบริเวณที่ฉีดโบท็อกซ์
4. อาหารทะเล มีสารฮีสตามีน อาจทำให้เกิดอาการแพ้บริเวณที่ฉีดโบท็อกซ์ได้
5. อาหารเสริมบางชนิด เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา มีฤทธิ์ลดการแข็งตัวของเลือด